บทเรียนออนไลน์
วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559
(วิชาการบัญชีชั้นกลาง 2) VDO บริษัท จำกัด (การบันทึกการจำหน่ายหุ้นทุนงวดเดียว)
ป้ายกำกับ:
วิชาการบัญชีชั้นกลาง 2
E-Mail : nuttaphut@gmail.com
(วิชาการบัญชีชั้นกลาง 2) บทที่ 8 การจำหน่ายหุ้นทุน
การจำหน่ายหุ้นทุน
การจำหน่ายหุ้นของบริษัท มี 2 ชนิดคือ หุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ สามารถจำหน่ายได้ 3 ราคา คือ
- ราคาตามมูลค่า (At Par)
- ราคาสูงกว่ามูลค่า (At a Premium หรือ Above Par)
- ราคาต่ำกว่ามูลค่า (At a Discount หรือ Below Par)
ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1105 ห้ามออกหุ้นต่ำกว่าราคามูลค่าที่ตั้งไว้ จะออกหุ้นสูงกว่ามูลค่าได้แต่ต้องระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ
ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด สามารถจำหน่ายหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าได้ในกรณีที่บริษัทดำเนินงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และมีการขาดทุนแต่ต้องได้รับความเห็นจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ดังนั้นการจำหน่ายหุ้นของบริษัทจำกัดมี 2 ราคา คือ ราคาตามมูลค่าและราคาสูงกว่ามูลค่า ส่วนบริษัทมหาชนจำกัดจำหน่ายหุ้นได้ 3 ราคา คือ ราคาตามมูลค่า ราคาสูงกว่ามูลค่าและราคาต่ำกว่ามูลค่า
การนำหุ้นทุนออกจำหน่ายมีดังนี้คือ
- ชำระค่าหุ้นครั้งเดียว หรือจำหน่ายหุ้นเป็นเงินสด
- ชำระค่าหุ้นเป็นงวด ๆ
ประเภทของหุ้นทุนของบริษัท
บริษัทเอกชน จำกัด(Company Limited, Ltd.) หรือบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096 กำหนดให้มีหุ้นทุน 2 ประเภท คือ
1.หุ้นสามัญ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่ในบริษัท เอกชน จำกัด มีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งจากผลกำไรของบริษัทในรูปของ เงินปันผล หลังจากที่บริษัทจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์แล้ว และในกรณีที่บริษัทล้มละลาย มีการชำระบัญชี กฎหมายระบุให้สิทธิ์เรียกคืนทุนจากทรัพย์สินของบริษัทได้ แต่ต้องหลังจากชำระคืนให้แก่เจ้าหนี้ต่างๆ และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์เต็มมูลค่าแล้วเท่านั้น และมีสิทธิ์ออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ (1 หุ้น:1 เสียง)
2.หุ้นบุริมสิทธิ์ เป็นหุ้นที่มีลักษณะกึ่งเจ้าของและกึ่งเจ้าหนี้ จึงไม่มีสิทธิ์ออกเสียง ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น แต่มีสิทธิ์เหนือผู้ถือหุ้นสามัญในการรับเงินปันผลที่จ่ายจากผลกำไรของ บริษัท และรับคืนทุนจากทรัพย์สินของบริษัท (เมื่อเลิกกิจการ) ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญหุ้นบุริมสิทธิ์
มี 3 ชนิด คือ
(1) หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดสะสม หมายถึง หุ้นบุริมสิทธิ์ที่มีสิทธิ์สะสมเงินปันผลไว้ในปีต่อไป ในกรณีที่ไม่มีกำไรพอที่จะปันผลในปีนั้น
(2) หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดไม่สะสม หมายถึง หุ้นบุริมสิทธิ์ที่ไม่มีสิทธิ์ในการสะสมไปจ่ายในปีต่อไป
(3) หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดร่วมรับ หมายถึง หุ้นบุริมสิทธิ์ที่ได้รับการปันผลแล้ว สามารถรับเงินปันผลพร้อมหุ้นสามัญอีกได้
การจำหน่ายหุ้นของบริษัท มี 2 ชนิดคือ หุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ สามารถจำหน่ายได้ 3 ราคา คือ
- ราคาตามมูลค่า (At Par)
- ราคาสูงกว่ามูลค่า (At a Premium หรือ Above Par)
- ราคาต่ำกว่ามูลค่า (At a Discount หรือ Below Par)
ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1105 ห้ามออกหุ้นต่ำกว่าราคามูลค่าที่ตั้งไว้ จะออกหุ้นสูงกว่ามูลค่าได้แต่ต้องระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ
ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด สามารถจำหน่ายหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าได้ในกรณีที่บริษัทดำเนินงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และมีการขาดทุนแต่ต้องได้รับความเห็นจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ดังนั้นการจำหน่ายหุ้นของบริษัทจำกัดมี 2 ราคา คือ ราคาตามมูลค่าและราคาสูงกว่ามูลค่า ส่วนบริษัทมหาชนจำกัดจำหน่ายหุ้นได้ 3 ราคา คือ ราคาตามมูลค่า ราคาสูงกว่ามูลค่าและราคาต่ำกว่ามูลค่า
การนำหุ้นทุนออกจำหน่ายมีดังนี้คือ
- ชำระค่าหุ้นครั้งเดียว หรือจำหน่ายหุ้นเป็นเงินสด
- ชำระค่าหุ้นเป็นงวด ๆ
ประเภทของหุ้นทุนของบริษัท
บริษัทเอกชน จำกัด(Company Limited, Ltd.) หรือบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096 กำหนดให้มีหุ้นทุน 2 ประเภท คือ
1.หุ้นสามัญ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่ในบริษัท เอกชน จำกัด มีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งจากผลกำไรของบริษัทในรูปของ เงินปันผล หลังจากที่บริษัทจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์แล้ว และในกรณีที่บริษัทล้มละลาย มีการชำระบัญชี กฎหมายระบุให้สิทธิ์เรียกคืนทุนจากทรัพย์สินของบริษัทได้ แต่ต้องหลังจากชำระคืนให้แก่เจ้าหนี้ต่างๆ และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์เต็มมูลค่าแล้วเท่านั้น และมีสิทธิ์ออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ (1 หุ้น:1 เสียง)
2.หุ้นบุริมสิทธิ์ เป็นหุ้นที่มีลักษณะกึ่งเจ้าของและกึ่งเจ้าหนี้ จึงไม่มีสิทธิ์ออกเสียง ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น แต่มีสิทธิ์เหนือผู้ถือหุ้นสามัญในการรับเงินปันผลที่จ่ายจากผลกำไรของ บริษัท และรับคืนทุนจากทรัพย์สินของบริษัท (เมื่อเลิกกิจการ) ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญหุ้นบุริมสิทธิ์
มี 3 ชนิด คือ
(1) หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดสะสม หมายถึง หุ้นบุริมสิทธิ์ที่มีสิทธิ์สะสมเงินปันผลไว้ในปีต่อไป ในกรณีที่ไม่มีกำไรพอที่จะปันผลในปีนั้น
(2) หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดไม่สะสม หมายถึง หุ้นบุริมสิทธิ์ที่ไม่มีสิทธิ์ในการสะสมไปจ่ายในปีต่อไป
(3) หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดร่วมรับ หมายถึง หุ้นบุริมสิทธิ์ที่ได้รับการปันผลแล้ว สามารถรับเงินปันผลพร้อมหุ้นสามัญอีกได้
ป้ายกำกับ:
วิชาการบัญชีชั้นกลาง 2
E-Mail : nuttaphut@gmail.com
(วิชาการบัญชีชั้นกลาง 2) บทที่ 8 ใบงานที่ 8.1
บทที่ 8 ใบงานที่ 8.1
ส่วนที่ 1 จงอธิบายและตอบคำถามต่อไปนี้ โดยสังเขป
1.ความหมายของบริษัทจำกัด มีความหมายว่าอย่างไร
2.ทุนของบริษัทจำกัดคืออะไร แบ่งออกได้กี่ชนิด
3.การเรียกเก็บเงินค่าหุ้นทำได้กี่วิธี ในแต่ละวิธีบริษัทจะออกใบหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเมื่อใด
4.การจำหน่ายหุ้นจำหน่ายได้กี่ราคา อะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างการบันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไปด้วย
5.จงอธิบายความหมายของค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัท และการตัดจำหน่ายบัญชีค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัท
6.การริบหุ้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มีวิธีปฏิบัติได้กี่วิธี วิธีที่กฎหมายไทยกำหนดให้ใช้คือวิธีใด
7.วิธีการเปลี่ยนจากกิจการห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัด ทำได้กี่วิธี อะไรบ้าง และมีขั้นตอนการปฏิบัติอย่างไร
ส่วนที่ 2 ให้บันทึกบัญชีตามโจทย์ต่อไปนี้
1.บริษัท ฟ้าใส จำกัด จดทะเบียนทุนหุ้นสามัญ 1,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท หุ้นบุริมสิทธิ 10% จำนวน 20,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท บริษัทได้นำหุ้นทั้งสองชนิดออกขายได้เงินสดทันที ในราคาต่าง ๆ กันดังนี้
1.หุ้นสามัญขายในราคาหุ้นละ 10 บาท
หุ้นบุริมสิทธิขายในราคาหุ้นละ 100 บาท
2.หุ้นสามัญขายในราคาหุ้นละ 11 บาท
หุ้นบุริมสิทธิขายในราคาหุ้นละ 105 บาท
3.หุ้นสามัญขายในราคาหุ้นละ 9.5 บาท
หุ้นบุริมสิทธิขายในราคาหุ้นละ 98 บาท
ให้ทำ : บันทึกรายการข้างต้นในสมุดรายวันทั่วไป
ส่วนที่ 1 จงอธิบายและตอบคำถามต่อไปนี้ โดยสังเขป
1.ความหมายของบริษัทจำกัด มีความหมายว่าอย่างไร
2.ทุนของบริษัทจำกัดคืออะไร แบ่งออกได้กี่ชนิด
3.การเรียกเก็บเงินค่าหุ้นทำได้กี่วิธี ในแต่ละวิธีบริษัทจะออกใบหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเมื่อใด
4.การจำหน่ายหุ้นจำหน่ายได้กี่ราคา อะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างการบันทึกรายการในสมุดรายวันทั่วไปด้วย
5.จงอธิบายความหมายของค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัท และการตัดจำหน่ายบัญชีค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัท
6.การริบหุ้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มีวิธีปฏิบัติได้กี่วิธี วิธีที่กฎหมายไทยกำหนดให้ใช้คือวิธีใด
7.วิธีการเปลี่ยนจากกิจการห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัด ทำได้กี่วิธี อะไรบ้าง และมีขั้นตอนการปฏิบัติอย่างไร
ส่วนที่ 2 ให้บันทึกบัญชีตามโจทย์ต่อไปนี้
1.บริษัท ฟ้าใส จำกัด จดทะเบียนทุนหุ้นสามัญ 1,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท หุ้นบุริมสิทธิ 10% จำนวน 20,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท บริษัทได้นำหุ้นทั้งสองชนิดออกขายได้เงินสดทันที ในราคาต่าง ๆ กันดังนี้
1.หุ้นสามัญขายในราคาหุ้นละ 10 บาท
หุ้นบุริมสิทธิขายในราคาหุ้นละ 100 บาท
2.หุ้นสามัญขายในราคาหุ้นละ 11 บาท
หุ้นบุริมสิทธิขายในราคาหุ้นละ 105 บาท
3.หุ้นสามัญขายในราคาหุ้นละ 9.5 บาท
หุ้นบุริมสิทธิขายในราคาหุ้นละ 98 บาท
ให้ทำ : บันทึกรายการข้างต้นในสมุดรายวันทั่วไป
ป้ายกำกับ:
วิชาการบัญชีชั้นกลาง 2
E-Mail : nuttaphut@gmail.com
(วิชาการบัญชีชั้นกลาง2) บทที่ 8 การจัดตั้งบริษัท
บทที่ 8 การจัดตั้งบริษัท / การจดทะเบียนบริษัทและการบันทึกบัญชีจำหน่ายหุ้นทุน
การจัดตั้งบริษัท - การจดทะเบียนบริษัท
สำหรับ"การจัดตั้งบริษัท"จำกัดนั้น ต้องดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
มีผู้เริ่มก่อการตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป เพื่อทำหนังสือบริคณห์สนธิขึ้น แล้วนำไปจดทะเบียน
หลังจากได้จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องจัดให้หุ้นของบริษัทที่จะตั้งขึ้นนั้น มีผู้เข้าชื่อจองซื้อหุ้นจนครบ
ดำเนินการประชุมจัดตั้งบริษัท โดยต้องส่งคำบอกกล่าวนัดประชุม ให้ผู้จองทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ก่อนวันประชุม
เมื่อได้ประชุมตั้งบริษัทและที่ประชุมได้แต่งตั้งกรรมการบริษัทแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องมอบหมายกิจการ โดยให้กรรมการบริษัทรับไปดำเนินการต่อไป
กรรมการบริษัทเรียกให้ผู้เริ่มก่อการและผู้จองหุ้นทำการชำระค่าหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้น (ทุนของบริษัทจะแบ่งสัดส่วนเป็นกี่หุ้นก็ได้ แต่จะต้องไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท)
เมื่อได้รับเงินค่าหุ้นแล้ว กรรมการต้องไปจดทะเบียนเป็นบริษัทภายใน 3 เดือน หลังจากการประชุมตั้งบริษัท
การดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม /หรือเลิก /และชำระบัญชีบริษัทจำกัด
ในกรณีที่บริษัทจำกัดนั้นได้ตกลงที่จะแก้ไข-เพิ่มเติมรายการใด ๆ ที่ได้ทำการจดทะเบียนไว้ เป็นอย่างอื่น หรือผู้ถือหุ้นจะเลิกกิจการ ก็จะต้องไปดำเนินการขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมรายการนั้น ๆ หรือจดทะเบียนเลิกและเสร็จการชำระบัญชี ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทที่ห้างนั้นมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งไว้อยู่
การจดทะเบียนจัดตั้งและแก้ไขเพิ่มเติมจะต้องดำเนินการตามวิธีและหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายและระเบียบของทางราชการได้กำหนดไว้
รายการจดทะเบียนที่บริษัทจะต้องจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม
การแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิก่อนการตั้งบริษัท
มติพิเศษของบริษัทให้
(1) เพิ่มทุน
(2) ลดทุน
(3) ควบบริษัท
ควบบริษัท
แก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริดณห์สนธิภายหลังตั้งบริษัท
เพิ่มทุน
ลดทุน
กรรมการ
จำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท
ที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่และ/หรือสำนักงานสาขา
ตราของบริษัท
รายการอื่นที่เห็นสมควรจะให้ประชาชนทราบ
วิธีการ จดทะเบียน มีขั้นตอนดังนี้
ในกรณี การจดทะเบียนบริษัท หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัท ให้ผู้เริ่มก่อการหรือกรรมการของบริษัท จะต้องขอตรวจและจองชื่อบริษัทเสียก่อนว่า ชื่อที่จะใช้นั้นจะซ้ำ หรือคล้ายกับคนอื่นที่จดทะเบียนไว้ก่อนหรือไม่ เมื่อจองชื่อได้แล้วจะต้องขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิภายใน 30 วัน
ซื้อคำขอและแบบพิมพ์จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือสำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจทั้ง 7 แห่ง หรือสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด
จัดทำคำขอจดทะเบียนและเอกสารประกอบคำขอ ยื่นต่อนายทะเบียนเพื่อตรวจพิจารณา
ชำระค่าธรรมเนียมตามใบสั่งของเจ้าหน้าที่
ถ้ามีความประสงค์จะได้หนังสือรับรองรายการในทะเบียน ให้ยื่นคำขอและชำระค่าธรรมเนียมต่อเจ้าหน้าที่ด้วย
รับใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน และหนังสือรับรองรายการในทะเบียนได้
ความหมายและลักษณะของบริษัทจำกัด
1. บริษัทเอกชนจำกัด
บริษัทเอกชนจำกัด ( Private Company Limited ) หมายถึง บริษัทจำกัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096 ซึ่งบัญญัติว่า “อันว่าบริษัทจำกัดนั้น คือ บริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น ซึ่งมีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ” มาตรา 1097 บัญญัติว่า “บุคคลใด ๆ ตั้งแต่ 7 คนขึ้นไปจะเริ่มก่อการและตั้งเป็นบริษัทจำกัดก็ได้ ด้วยการเข้าชื่อกันทำหนังสือบริคณห์สนธิและกระทำการอย่างอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
2. บริษัทมหาชนจำกัด
บริษัทมหาชนจำกัด (Public Company Limited ) หมายถึงบริษัทมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งมาตรา 15 บัญญัติว่า “บุคคลธรรมดาตั้งแต่สิบห้าคนขึ้นไป จะเริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดได้โดยจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ และปฏิบัติการอย่างอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้ที่ดำเนินการขายและซื้อหุ้นของบริษัทจำกัด (มหาชน) คือ ตลาดหลักทรัพย์โดยในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Public Limited Company แล้วย่อได้เป็น Plc หรือ PLC (Public Limited Company)
เพื่อแสดงว่าเป็นบริษัทจำกัด ประเภทมหาชน แตกต่างไปจากบริษัทประเภทprivate หรืออาจย่อว่า Pcl หรือ PCL (Public Company Limited)
ที่มา :BuncheeAudit
การจัดตั้งบริษัท - การจดทะเบียนบริษัท
สำหรับ"การจัดตั้งบริษัท"จำกัดนั้น ต้องดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
มีผู้เริ่มก่อการตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป เพื่อทำหนังสือบริคณห์สนธิขึ้น แล้วนำไปจดทะเบียน
หลังจากได้จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องจัดให้หุ้นของบริษัทที่จะตั้งขึ้นนั้น มีผู้เข้าชื่อจองซื้อหุ้นจนครบ
ดำเนินการประชุมจัดตั้งบริษัท โดยต้องส่งคำบอกกล่าวนัดประชุม ให้ผู้จองทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ก่อนวันประชุม
เมื่อได้ประชุมตั้งบริษัทและที่ประชุมได้แต่งตั้งกรรมการบริษัทแล้ว ผู้เริ่มก่อการต้องมอบหมายกิจการ โดยให้กรรมการบริษัทรับไปดำเนินการต่อไป
กรรมการบริษัทเรียกให้ผู้เริ่มก่อการและผู้จองหุ้นทำการชำระค่าหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้น (ทุนของบริษัทจะแบ่งสัดส่วนเป็นกี่หุ้นก็ได้ แต่จะต้องไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท)
เมื่อได้รับเงินค่าหุ้นแล้ว กรรมการต้องไปจดทะเบียนเป็นบริษัทภายใน 3 เดือน หลังจากการประชุมตั้งบริษัท
การดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม /หรือเลิก /และชำระบัญชีบริษัทจำกัด
ในกรณีที่บริษัทจำกัดนั้นได้ตกลงที่จะแก้ไข-เพิ่มเติมรายการใด ๆ ที่ได้ทำการจดทะเบียนไว้ เป็นอย่างอื่น หรือผู้ถือหุ้นจะเลิกกิจการ ก็จะต้องไปดำเนินการขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมรายการนั้น ๆ หรือจดทะเบียนเลิกและเสร็จการชำระบัญชี ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทที่ห้างนั้นมีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งไว้อยู่
การจดทะเบียนจัดตั้งและแก้ไขเพิ่มเติมจะต้องดำเนินการตามวิธีและหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายและระเบียบของทางราชการได้กำหนดไว้
รายการจดทะเบียนที่บริษัทจะต้องจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม
การแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิก่อนการตั้งบริษัท
มติพิเศษของบริษัทให้
(1) เพิ่มทุน
(2) ลดทุน
(3) ควบบริษัท
ควบบริษัท
แก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริดณห์สนธิภายหลังตั้งบริษัท
เพิ่มทุน
ลดทุน
กรรมการ
จำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท
ที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่และ/หรือสำนักงานสาขา
ตราของบริษัท
รายการอื่นที่เห็นสมควรจะให้ประชาชนทราบ
วิธีการ จดทะเบียน มีขั้นตอนดังนี้
ในกรณี การจดทะเบียนบริษัท หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัท ให้ผู้เริ่มก่อการหรือกรรมการของบริษัท จะต้องขอตรวจและจองชื่อบริษัทเสียก่อนว่า ชื่อที่จะใช้นั้นจะซ้ำ หรือคล้ายกับคนอื่นที่จดทะเบียนไว้ก่อนหรือไม่ เมื่อจองชื่อได้แล้วจะต้องขอจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิภายใน 30 วัน
ซื้อคำขอและแบบพิมพ์จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือสำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจทั้ง 7 แห่ง หรือสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด
จัดทำคำขอจดทะเบียนและเอกสารประกอบคำขอ ยื่นต่อนายทะเบียนเพื่อตรวจพิจารณา
ชำระค่าธรรมเนียมตามใบสั่งของเจ้าหน้าที่
ถ้ามีความประสงค์จะได้หนังสือรับรองรายการในทะเบียน ให้ยื่นคำขอและชำระค่าธรรมเนียมต่อเจ้าหน้าที่ด้วย
รับใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน และหนังสือรับรองรายการในทะเบียนได้
ความหมายและลักษณะของบริษัทจำกัด
1. บริษัทเอกชนจำกัด
บริษัทเอกชนจำกัด ( Private Company Limited ) หมายถึง บริษัทจำกัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096 ซึ่งบัญญัติว่า “อันว่าบริษัทจำกัดนั้น คือ บริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้น ซึ่งมีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ” มาตรา 1097 บัญญัติว่า “บุคคลใด ๆ ตั้งแต่ 7 คนขึ้นไปจะเริ่มก่อการและตั้งเป็นบริษัทจำกัดก็ได้ ด้วยการเข้าชื่อกันทำหนังสือบริคณห์สนธิและกระทำการอย่างอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
2. บริษัทมหาชนจำกัด
บริษัทมหาชนจำกัด (Public Company Limited ) หมายถึงบริษัทมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งมาตรา 15 บัญญัติว่า “บุคคลธรรมดาตั้งแต่สิบห้าคนขึ้นไป จะเริ่มจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัดได้โดยจัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ และปฏิบัติการอย่างอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้ที่ดำเนินการขายและซื้อหุ้นของบริษัทจำกัด (มหาชน) คือ ตลาดหลักทรัพย์โดยในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Public Limited Company แล้วย่อได้เป็น Plc หรือ PLC (Public Limited Company)
เพื่อแสดงว่าเป็นบริษัทจำกัด ประเภทมหาชน แตกต่างไปจากบริษัทประเภทprivate หรืออาจย่อว่า Pcl หรือ PCL (Public Company Limited)
ที่มา :BuncheeAudit
ป้ายกำกับ:
วิชาการบัญชีชั้นกลาง 2
E-Mail : nuttaphut@gmail.com
วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ใบงาน การจัดทำงบการเงิน (วิชากระบวนการจัดทำบัญชี)
ใบงาน
เรื่อง การจัดทำงบการเงิน วิชา กระบวนการจัดทำบัญชี
คำสั่ง ให้นักเรียนจัดทำงบกำไรขาดทุนและงบดุล ของกิจการห้างหุ้นส่วน ตามโจทย์ที่กำหนดให้
หจก.อุ่นใจ
งบทดลอง
วันที่ 31 ธันวาคม 2556
เรื่อง การจัดทำงบการเงิน วิชา กระบวนการจัดทำบัญชี
คำสั่ง ให้นักเรียนจัดทำงบกำไรขาดทุนและงบดุล ของกิจการห้างหุ้นส่วน ตามโจทย์ที่กำหนดให้
หจก.อุ่นใจ
งบทดลอง
วันที่ 31 ธันวาคม 2556
ป้ายกำกับ:
วิชากระบวนการจัดทำบัญชี
E-Mail : nuttaphut@gmail.com
วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ส่วนที่ 4 งบการเงิน (วิชากระบวนการจัดทำบัญชี)
งบการเงิน (Financial Statement) หมายถึง รายงานทางการเงินที่แสดงฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของกิจการ ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ วันสิ้นงวดบัญชี อาจจะเป็นระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี
ส่วนประกอบของงบการเงินที่สมบูรณ์ ควรประกอบด้วย
1. งบดุล (Balance Sheet)
2.งบกำไรขาดทุน (Profit and Loss Statement)
3.งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของ (Statement of changes in owner’s equity)
4.งบกระแสเงินสด ( Cash Flow statement)
5.หมายเหตุประกอบเงินการเงิน (Note to Financial Statement)
1) งบกำไรขาดทุน (Profit and Loss Statement) หมายถึง งบที่แสดงผลการดำเนินงานของกิจการว่ามีผลกำไร หรือ ขาดทุนสุทธิเท่าใดประกอบด้วยรายละเอียดของรายได้และค่าใช้จ่าย
2) งบดุล (Balance Sheet) หมายถึง งบที่แสดงฐานะทางการเงินของกิจการ ณ วันใดวันหนึ่งประกอบด้วยรายละเอียด ของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ(ทุน)
รูปแบบของงบกำไรขาดทุนและงบดุล
1) รูปแบบของงบกำไรขาดทุน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
(1) แบบรายงาน (Report Form) รายการแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่หนึ่ง
เป็นส่วนของรายได้ ตอนที่สองเป็นส่วนของค่าใช้จ่าย และตอนที่สามคือกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
(2) แบบบัญชี (Account Form) เป็นแบบที่แสดงรายการแบบตัว T ในภาษาอังกฤษ โดยแบ่งออกเป็นสองด้าน คือ ด้านซ้ายมือ (เดบิต) บันทึกรายการเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ด้านขวามือ (เครดิต) บันทึกรายการเกี่ยวกับรายได้
2) รูปแบบของงบดุล คือ แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
(1) แบบรายงาน (Report Form) จะแสดงรายการเรียงกันตามลำดับของหมวดบัญชี คือ หมวดสินทรัพย์ หมวดหนี้สิน และส่วนของเจ้าของ ผลรวมของหมวดสินทรัพย์จะต้องเท่ากับผลรวมของหมวดหนี้สิน และส่วนของเจ้าของ
(2) แบบบัญชี (Account form) จะแสดงรายการบัญชีหมวดสินทรัพย์ทางด้านซ้ายมือ (เดบิต) หนี้สินและส่วนของเจ้าของ จะแสดงรายการด้านขวามือ (เครดิต) และผลรวมด้าน เดบิต จะต้องเท่ากับด้านเครดิต
การจัดทำงบกำไรขาดทุนแบบรายงานและแบบบัญชี
1. การทำงบกำไรขาดทุนแบบรายงาน
1. ส่วนหัวงบ มี 3 บรรทัด คือ
บรรทัดที่ 1 เขียน “ชื่อกิจการ”
บรรทัดที่ 2 เขียนคำว่า “งบกำไรขาดทุน”
บรรทัดที่ 3 เขียนระยะเวลาที่จัดทำงบกำไรขาดทุน
2. เขียนคำว่า “รายได้” ทางด้านซ้ายมือแล้วนำบัญชีรายได้หลักและรายได้อื่น ๆ ของกิจการมาลงรายการโดยเขียน เยื้องไปทางขวามือเล็กน้อย และเขียนจำนวนเงินทางขวามือแล้วรวมยอดรายได้ทั้งหมด
3. เขียนคำว่า “ค่าใช้จ่าย” ทางซ้ายมือให้ตรงกับรายได้ และนำบัญชีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเขียนเยื้องไปทาง ขวามือเล็กน้อย พร้อมเขียนจำนวนเงินทางขวามือแล้วรวมยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมด
4. หาผลต่างระหว่างยอดรวมรายได้ และยอดรวมค่าใช้จ่าย ถ้ายอดรวมรายได้มากกว่ายอดรวมค่าใช้จ่าย ผลต่างคือ กำไรสุทธิ ถ้ายอดรวมค่าใช้จ่ายมากกว่ายอดรวมรายได้ผลต่างคือขาดทุนสุทธิ
2. การทำงบกำไรขาดทุนแบบบัญชี
1. เขียนส่วนหัวงบ 3 บรรทัด
2. ลงรายการเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทางด้านซ้ายมือเรียงลงมาตามลำดับ และลงรายการเกี่ยวกับรายได้ทางด้านขวามือ เรียงลงมาตามลำดับ
3. รวมยอดรายได้ เขียนกำไรสุทธิทางด้านเดบิต ส่วนขาดทุนสุทธิเขียนทางด้านเครดิต
งบดุล
การทำงบดุลแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1. การจัดทำงบดุลแบบรายงาน
1. ส่วนหัวงบ 3 บรรทัด
บรรทัดแรก เขียน “ ชื่อกิจการ ”
บรรทัดที่สอง เขียนกำไรขาดทุนในและบรรทัดที่สามเขียนระยะเวลาบัญชี
2. เขียนคำว่า “ สินทรัพย์ ” ไว้กึ่งกลางหน้ากระดาษ แล้วนำบัญชีหมวดทรัพย์สินมาลงรายการทางด้านซ้ายมือ และ เขียนจำนวนเงินทางขวามือ
3. เขียนคำว่า “ หนี้สินและส่วนของเจ้าของ ” กลางหน้ากระดาษ แล้วนำบัญชีหมวดหนี้สินมาลงรายการทางซ้ายมือ และเขียนจำนวนเงินทางขวามือแล้วรวมยอดหนี้สิน สุดท้ายรวมยอดหนี้สินและส่วนของเจ้าของ ซึ่งต้องเท่ากับยอดรวมของสินทรัพย์ ทั้งหมด
ส่วนประกอบของงบการเงินที่สมบูรณ์ ควรประกอบด้วย
1. งบดุล (Balance Sheet)
2.งบกำไรขาดทุน (Profit and Loss Statement)
3.งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเจ้าของ (Statement of changes in owner’s equity)
4.งบกระแสเงินสด ( Cash Flow statement)
5.หมายเหตุประกอบเงินการเงิน (Note to Financial Statement)
1) งบกำไรขาดทุน (Profit and Loss Statement) หมายถึง งบที่แสดงผลการดำเนินงานของกิจการว่ามีผลกำไร หรือ ขาดทุนสุทธิเท่าใดประกอบด้วยรายละเอียดของรายได้และค่าใช้จ่าย
2) งบดุล (Balance Sheet) หมายถึง งบที่แสดงฐานะทางการเงินของกิจการ ณ วันใดวันหนึ่งประกอบด้วยรายละเอียด ของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ(ทุน)
รูปแบบของงบกำไรขาดทุนและงบดุล
1) รูปแบบของงบกำไรขาดทุน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
(1) แบบรายงาน (Report Form) รายการแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่หนึ่ง
เป็นส่วนของรายได้ ตอนที่สองเป็นส่วนของค่าใช้จ่าย และตอนที่สามคือกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
(2) แบบบัญชี (Account Form) เป็นแบบที่แสดงรายการแบบตัว T ในภาษาอังกฤษ โดยแบ่งออกเป็นสองด้าน คือ ด้านซ้ายมือ (เดบิต) บันทึกรายการเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ด้านขวามือ (เครดิต) บันทึกรายการเกี่ยวกับรายได้
2) รูปแบบของงบดุล คือ แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
(1) แบบรายงาน (Report Form) จะแสดงรายการเรียงกันตามลำดับของหมวดบัญชี คือ หมวดสินทรัพย์ หมวดหนี้สิน และส่วนของเจ้าของ ผลรวมของหมวดสินทรัพย์จะต้องเท่ากับผลรวมของหมวดหนี้สิน และส่วนของเจ้าของ
(2) แบบบัญชี (Account form) จะแสดงรายการบัญชีหมวดสินทรัพย์ทางด้านซ้ายมือ (เดบิต) หนี้สินและส่วนของเจ้าของ จะแสดงรายการด้านขวามือ (เครดิต) และผลรวมด้าน เดบิต จะต้องเท่ากับด้านเครดิต
การจัดทำงบกำไรขาดทุนแบบรายงานและแบบบัญชี
1. การทำงบกำไรขาดทุนแบบรายงาน
1. ส่วนหัวงบ มี 3 บรรทัด คือ
บรรทัดที่ 1 เขียน “ชื่อกิจการ”
บรรทัดที่ 2 เขียนคำว่า “งบกำไรขาดทุน”
บรรทัดที่ 3 เขียนระยะเวลาที่จัดทำงบกำไรขาดทุน
2. เขียนคำว่า “รายได้” ทางด้านซ้ายมือแล้วนำบัญชีรายได้หลักและรายได้อื่น ๆ ของกิจการมาลงรายการโดยเขียน เยื้องไปทางขวามือเล็กน้อย และเขียนจำนวนเงินทางขวามือแล้วรวมยอดรายได้ทั้งหมด
3. เขียนคำว่า “ค่าใช้จ่าย” ทางซ้ายมือให้ตรงกับรายได้ และนำบัญชีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเขียนเยื้องไปทาง ขวามือเล็กน้อย พร้อมเขียนจำนวนเงินทางขวามือแล้วรวมยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมด
4. หาผลต่างระหว่างยอดรวมรายได้ และยอดรวมค่าใช้จ่าย ถ้ายอดรวมรายได้มากกว่ายอดรวมค่าใช้จ่าย ผลต่างคือ กำไรสุทธิ ถ้ายอดรวมค่าใช้จ่ายมากกว่ายอดรวมรายได้ผลต่างคือขาดทุนสุทธิ
2. การทำงบกำไรขาดทุนแบบบัญชี
1. เขียนส่วนหัวงบ 3 บรรทัด
2. ลงรายการเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทางด้านซ้ายมือเรียงลงมาตามลำดับ และลงรายการเกี่ยวกับรายได้ทางด้านขวามือ เรียงลงมาตามลำดับ
3. รวมยอดรายได้ เขียนกำไรสุทธิทางด้านเดบิต ส่วนขาดทุนสุทธิเขียนทางด้านเครดิต
งบดุล
การทำงบดุลแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1. การจัดทำงบดุลแบบรายงาน
1. ส่วนหัวงบ 3 บรรทัด
บรรทัดแรก เขียน “ ชื่อกิจการ ”
บรรทัดที่สอง เขียนกำไรขาดทุนในและบรรทัดที่สามเขียนระยะเวลาบัญชี
2. เขียนคำว่า “ สินทรัพย์ ” ไว้กึ่งกลางหน้ากระดาษ แล้วนำบัญชีหมวดทรัพย์สินมาลงรายการทางด้านซ้ายมือ และ เขียนจำนวนเงินทางขวามือ
3. เขียนคำว่า “ หนี้สินและส่วนของเจ้าของ ” กลางหน้ากระดาษ แล้วนำบัญชีหมวดหนี้สินมาลงรายการทางซ้ายมือ และเขียนจำนวนเงินทางขวามือแล้วรวมยอดหนี้สิน สุดท้ายรวมยอดหนี้สินและส่วนของเจ้าของ ซึ่งต้องเท่ากับยอดรวมของสินทรัพย์ ทั้งหมด
ป้ายกำกับ:
วิชากระบวนการจัดทำบัญชี
E-Mail : nuttaphut@gmail.com
VDO รู้จักงบการเงิน กับ ก.ล.ต. (วิชากระบวนการจัดทำบัญชี)
ที่มา:www.youtube.com.ตลาดทุนก.ล.ต.
ป้ายกำกับ:
วิชากระบวนการจัดทำบัญชี
E-Mail : nuttaphut@gmail.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)